หมอแจงคนไทยอย่าวิตก โควิด สายพันธุ์อินเดียมาก เพราะ สายพันธุ์อังกฤษ น่ากลัวกว่า

นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ หัวหน้าโรคระบบทางเดินหายใจ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ โพสต์ข้อความว่า คนไทยผวาตรวจเจอติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์อินเดีย 36 ราย ในประเทศไทย ประเทศอินเดียรายงานไวรัสโควิดสายพันธุ์อินเดีย B.1.617 ครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ตุลาคมปีที่แล้ว หลังจากนั้นมีการแพร่ระบาดไป 49 ประเทศ น้อยกว่าสายพันธุ์อังกฤษ B.1.1.7 ที่พบในเกือบทุกประเทศ ปัจจุบันประเทศอินเดียมีคนติดเชื้อไวรัสโควิด 26 ล้านคน เสียชีวิตเกือบ 3 แสนคน ประเทศอินเดียส่งตรวจรหัสพันธุกรรมเชื้อไวรัสแบบทั้งตัว (whole genome sequencing) พร้อมกับข้อมูลของผู้ป่วย อายุ เพศ โรคประจำตัว อาการแสดง ความรุนแรงของโรค การเสียชีวิต และประวัติการได้รับวัคซีน

จากจำนวนผู้ป่วย 26 ล้านคน ประเทศอินเดียถอดรหัสพันธุกรรมเพื่อทราบว่าเป็นไวรัสสายพันธุ์ใดเพียง 1 หมื่นกว่ารายเท่านั้น คิดเป็นอัตราส่วนร้อยละ 0.05 บางรัฐตรวจพบสายพันธุ์อังกฤษ B.1.1.7 บางรัฐพบสายพันธุ์อินเดีย บางรัฐพบสายพันธุ์อื่นๆ พบสายพันธุ์อินเดียประมาณ 1 ใน 3 ของที่ส่งตรวจทั้งหมด การที่ตรวจน้อยมาก ทำให้ไม่ทราบสัดส่วนสายพันธุ์ไหนกันแน่เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดการระบาดอย่างหนักและคนตายเป็นใบไม้ร่วง แต่ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าน่าจะเกิดจากสายพันธุ์อังกฤษมากกว่าสายพันธุ์อินเดีย

สหราชอาณาจักรตรวจรหัสพันธุกรรมแบบทั้งตัว สุ่มตรวจมากถึงร้อยละ 5 พบไวรัสสายพันธุ์อินเดีย 4 พันกว่าราย มากกว่าประเทศอินเดียที่รายงานแค่ 2 พันกว่าราย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์และเครือข่ายห้องปฏิบัติการของไทยตรวจรหัสพันธุกรรมแบบทั้งตัว สัปดาห์ละ 380 ราย โดยเก็บจากทุกพื้นที่ของประเทศ ขณะนี้พบสายพันธุ์อังกฤษมากกว่าสายพันธุ์อินเดีย

องค์การอนามัยโลกเพิ่งจะประกาศไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์อินเดียเป็นสายพันธุ์ที่น่ากังวล ติดต่อกันง่าย คล้ายกับสายพันธุ์อังกฤษ ไม่หลบหลีกภูมิคุ้มกันเกิดจากการฉีดวัคซีน สำหรับความรุนแรงยังไม่แน่ใจ เพราะข้อมูลยังไม่เพียงพอ

คนไทยไม่ควรวิตกกังวลกับไวรัสสายพันธุ์อินเดียมากเกินไป ควรกลัวไวรัสสายพันธุ์อังกฤษที่กำลังระบาดขณะนี้มากกว่า เพราะติดต่อกันง่ายมากและรุนแรง ทั้งไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์อังกฤษและอินเดียป้องกันได้ด้วยวัคซีนที่มีในปัจจุบัน รีบจองคิว ฉีดวัคซีนให้เร็วที่สุด.

อย่างไรก็ดี อย่าลืมดูแลตัวเองให้ดีและการ์ดอย่าตกก็จะช่วยให้เราปลอดภัยกันอย่างแน่นอน

Related Post

ศูนย์วัคซีนกลางบางซื่อ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ประกาศเปิดให้ประชาชนจองคิวฉีดวัคซีน เข็มที่ 1 สูตรไขว้ AP (เข็ม1 AstraZeneca, เข็ม Read more

มูลนิธิ เลิฟ อิส มิวสิค (LOVEiS Music Foundation) จากปณิธานและการก่อตั้งโดย คุณเทพอาจ กวินอนันต์ Read more

ในช่วงวันที่ 7-12 มิ.ย 2564 ที่ผ่านมามีการฉีดวัคซีนทั่วประเทศจำนวน 1,865,190 โดส และตั้งแต่วันที่ 28 กพ. Read more

ซ่อนสยอง โปรหมูกระทะ กก.ละ 99 มีปลาหมึกบลูริงปน!

เกือบสู่ขิต ซะแล้ว เมื่อผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง โพสต์ภาพลงในกลุ่มคนรักบุฟเฟ่ต์ (Buffet Lovers) โดยเป็นภาพ หมึกบลูริง จากร้านหมูกระทะชื่อดัง ย่านปิ่นเกล้า ระบุว่า “ร้านหมูกระทะชื่อดังย่านปิ่นเกล้าค่ะ จัดโปรกิโลกรัมละ 99 บาท ทานอาหารทะเลระวังหมึกบลูริงกันด้วยนะคะ” ต่อมา เฟซบุ๊กแฟนเพจของร้านดังกล่าว ได้ออกมาโพสต์ชี้แจงถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ระบุว่า “ทางร้าน (ขอสงวนชื่อร้าน) ได้รับทราบเรื่องจากเพจ กลุ่มคนรักบุฟเฟ่ต์ เนื่องจากมีลูกค้าท่านหนึ่งได้พบ “หมึกบลูริง” ที่ร้านทางร้านมีความเสียใจอย่างมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทางร้านขอโทษลูกค้าทุกท่านที่ให้ความไว้วางใจมาใช้บริการ และขอให้ลูกค้าทุกท่านที่ ได้ซื้อปลาหมึกสายจากที่ร้านไปในวันที่ 17-19 พ.ค.นี้ ขอให้ลูกค้าตรวจสอบก่อนรับประทาน” พร้อมแนะนำวิธีการตรวจสอบ และ หากลูกค้าที่ร้านที่ซื้อไป พบปลาหมึกบลูริง ดังกล่าวทางร้านยินดีคืนเงิน และหากได้รับความเสียหายจากกรณีดังกล่าวยินดีรับผิดชอบในทุกประการ พร้อมทั้งยกเลิกการสั่งสินค้าจาซัพไพเออร์เจ้ากดังกล่าว และหยุดขายสินค้าปลาหมึกไปก่อน

สำหรับ หมึกบลูริง นั้น ผศ.ดร. ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เคยให้ข้อมูลว่า หมึกชนิดนี้มีพิษร้ายแรงมาก อย่ากินเด็ดขาด‬ พิษหมึกจะอยู่ในน้ำลายและตามเนื้อเยื่อส่วนต่างๆ ทั่วร่าง เมื่อหมึกกัดพิษจะเข้าบาดแผล รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต พิษพวกนี้เป็น TTX (tetrodotoxin) เหมือนปักเป้า ไม่สลายเมื่อโดนความร้อน

อย่างไรก็ดี ในช่วงนี้จะเลือกรับประทานอาหารอะไรต้องระมัดระวังกันให้ดีนะ

Related Post

อ.นิธิ แนะนำ วิธีทานยา “ยาน้ำเชื่อมฟาวิพิราเวียร์” จากราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ พร้อมช่องทางติดต่อรับยา

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ กล่าวว่า ได้เชิญผู้ให้บริการมารับทราบคำสั่งศาลที่มีคำสั่งระงับการทำให้แพร่หลายหรือลบข้อมูลคอมพิวเตอร์

กระทรวงสาธารณสุข ขอจัดส่งวัคซีนโควิด 19 ไฟเซอร์ สำหรับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขเพื่อลดการป่วยรุนแรงและอัตราการเสียชีวิต